Varity Zone > ห้องนั่งเล่น เฮฮา ไร้สาระ คุยกันเรื่อยเปื่อย

ข่าวด่วนประจำวัน

<< < (38/38)

ptoocat:
รับทราบค่ะ

limited_:
รับทราบครับผม
เดี๋ยวน้องแบงค์จะกลับมาป่วนแล้วครับ
ช่วงนี้งานยุ่งมากมาย
ไม่ได้ทิ้งบ้านนะครับแวะมาดูความเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆครับ
 8) 8)

limited_:
เล็งส่งช่างกล7สถาบัน ออกค่ายละลายพฤติกรรม
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ว่า เบื้องต้นที่ประชุมมีข้อสรุป 2 ประเด็นใหญ่เพื่อที่หน่วยงานจะช่วยกันบรรเทาปัญหาความรุนแรง และแก้ไขและควบคุมปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียนอาชีวะ ได้แก่ 1. การดูแลจุดเสี่ยง โดยจะมีการเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง อาทิ ป้ายรถเมล์ ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า และสถานบันเทิงในพื้นที่ โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ร่วมตั้งจุดตรวจค้นช่วงเวลาก่อนเข้าและหลังเลิกเรียนซึ่งนักเรียนมักจะอาศัยช่วงดังกล่าวก่อเหตุ ทั้งนี้กทม.กำลังศึกษาความเป็นไปได้ว่าจะมีการตั้งศูนย์ป้องกันการทะเลาะวิวาทของเยาวชนหรือไม่ เนื่องจาก 1.กระทรวงศึกษาธิการอาจจะมีหน่วยงานด้านนี้อยู่แล้ว และ2.กทม.มีแผนจะติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ( CCTV ) ในพื้นที่จุดเสี่ยงอยู่แล้ว
ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวต่อว่า 2. เรื่องการดูแลนักเรียนกลุ่มเสี่ยง ซึ่งสถาบันอาชีวศึกษามีกิจกรรมที่จะให้นักเรียนของตนเองออกทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์อยู่แล้ว แต่ข้อสรุปในที่ประชุมจะให้มีการดำเนินการจัดกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ร่วมกันในอาทิตย์ที่ 5 กันยายนนี้ โดยจะให้สถาบันอาชีวศึกษาในพื้นที่กรุงเทพฯตะวันออก ส่งนักเรียนสถาบันละ 20 คน รวม 7 สถาบันทำกิจกรรมบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ทำความสะอาดสถานที่ทางศาสนา เช่น วัดและมัสยิดรวมกันครั้งแรกซึ่งตนจะมาร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นช่วงปิดภาคเรียนของสถาบันอาชีวศึกษานั้น จะมีการจัดค่ายผู้นำนักเรียนโรงเรียนอาชีวศึกษาทั้ง 9 แห่ง โดยให้ผู้บริหารสถาบันส่งนักเรียนหัวโจกของแต่ละแห่งมาร่วมเข้าค่ายผู้นำนักเรียน ที่อำเภอวังตระไคร้ จ.นครนายก ซึ่งตนพร้อมจะเป็นเจ้าภาพดูแลค่าใช้จ่ายและดูแลนักเรียนด้วยตัวเอง และจะมีการเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ให้ร่วมกันกำหนดกิจกรรมละลายพฤติกรรมนักเรียน
“ ค่ายนี้นักเรียนหัวโจกจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน อาจจะ 3-4 วัน จำนวนไม่เกิน 100 คน โดยจะมีกิจกรรมเดินป่า ล่องแก่ง และกิจกรรมที่ออกแบบโดยวิทยากรเชี่ยวชาญที่ตนจะทาบทามมาช่วยในค่ายนี้ เพื่อนักเรียนแต่ละสถาบันจะได้รับรู้และปรับพฤติกรรมการอยู่ร่วมกัน เพื่อสร้างความสมานฉันท์ระหว่างนักเรียนที่ต่างสถาบันกันด้วย ” ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวและว่า หากกิจกรรมทั้ง 2 กิจกรรมนี้ประสบความสำเร็จ ได้ผลดีในเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯตะวันออกนั้น ก็อาจจะเป็นตัวอย่างให้กับพื้นที่อื่นๆต่อไป

limited_:
เจ้าสัวซีพีขึ้นเศรษฐีอันดับ1
แซง"เสี่ยเฉลียว"ตกไปอยู่อันดับ2

นิตยสาร “ฟอร์บส์” จัดลำดับ 40 อภิมหาเศรษฐีไทยประจำปีนี้ ระบุรายได้เพิ่มขึ้นรวมกันแล้วเกิน 1.1 ล้านล้านบาท โดยมีเจ้าสัวซีพี “ธนินท์ เจียรวนนท์” ขึ้นอันดับ 1 มูลค่าทรัพย์สินรวม 2.2 แสนล้านบาท ตามมาด้วยเจ้าของธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง “กระทิงแดง” อยู่อันดับ 2 เผยเศรษฐกิจไทยบูมสุดขีด ตลาดหุ้นคึกคัก และ ค่าเงินบาทแข็งขึ้น โดยไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมือง

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานจาก กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 ก.ย.ว่า นิตยสารฟอร์บส์อันทรงอิทธิพลของสหรัฐรายงานผลการวิจัยระบุว่า แม้ว่าในปีนี้ได้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองนานหลายสัปดาห์ จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในกรุงเทพฯ แต่ยอดรวมรายได้ของ 40 อภิมหาเศรษฐี ของไทยในปีนี้ก็เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 46 จาก   ปีที่แล้ว โดยมีนายธนินท์ เจียรวนนท์ วัย  71 ปี เจ้าของกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) รวยที่สุดเป็นอันดับ 1 ของ 40 อันดับอภิมหาเศรษฐีไทย มูลค่าทรัพย์สินรวม 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 220,500 ล้านบาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณ 31.50 บาท เท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ) ส่วนมูลค่าทรัพย์สินรวม 40 อภิมหาเศรษฐีไทยเท่ากับ 36,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,149,750 ล้านบาท
    
รายงานข่าวแจ้งว่า รายงานการวิจัยของนิตยสารฟอร์บส์มีขึ้น 3 เดือนหลังเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองครั้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทย คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 91 ศพ ในการปะทะกันระหว่างทหารและกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาล โดยผู้ชุมนุม “กลุ่มคนเสื้อแดง” ส่วนใหญ่ นั้นจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท ซึ่งต่างก็เรียกร้องว่า พวกตนเป็นคนไม่มีปากมีเสียงในประเทศที่มีคนมีฐานะประมาณร้อยละ 20 มีรายได้จากผลประกอบการถึงร้อยละ 55 ขณะที่ผู้ยากจนมีจำนวน 1 ใน 5 ของจำนวนประชากรนั้น กลับมีรายได้หรือส่วนแบ่งแค่ร้อยละ 4 เท่านั้น ทั้งนี้จากรายงานของธนาคารโลก
    
ข่าวระบุต่อไปว่า ประมาณร้อยละ 75 ของอภิมหาเศรษฐีในประเทศไทยจากการจัดลำดับของนิตยสารฟอร์บส์นั้น มีรายได้เพิ่มขึ้นก็เพราะตลาดหุ้นเฟื่องฟูขึ้นอย่างมาก แม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่สงบก็ตาม นอกจากนั้นยังมีปัจจัยประกอบ เช่น ค่าเงินบาทแข็งตัวเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ยังส่งผลให้นายธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าของซีพี ก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 ของอภิมหาเศรษฐีไทย เบียดเจ้าของตำแหน่งเดิม นายเฉลียว อยู่วิทยา วัย 78 ปี เจ้าของบริษัทเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อ “กระทิงแดง” ตกไปอยู่อันดับ ที่ 2
    
รอยเตอร์รายงานว่า รายได้ของนายธนินท์เพิ่มขึ้น 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากปีที่แล้ว มากกว่าของนายเฉลียว ซึ่งมีราย   ได้เพิ่มขึ้นมาเพียง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นมูลค่าทรัพย์สิน 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 132,300 ล้านบาท และอันดับที่ 3 เป็นของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี วัย 66 ปี ผู้ก่อตั้งบริษัทไทย เบฟเวอเรจ มูลค่าทรัพย์สินรวม 4,150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 130,725 ล้านบาท
    
นอกจากผลจากภาวะเศรษฐกิจของไทยที่เติบโตขึ้นอย่างมาก จึงมีอภิมหาเศรษฐีหน้าใหม่อยู่ใน 40 อันดับของนิตยสารฟอร์บส์ด้วย เช่น นายคีรี กาญจนพาสน์ เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และประธาน กรรมการ บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส) และนายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหารบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version